ประวัติความเป็นมา

ประวัติศาสตร์ประเทศซาอุดีอาระเบียเริ่มขึ้นประมาณปี 1850 ในใจกลางคาบสมุทรอาระเบีย เมื่อ มุฮัมมัด บินสะอูด ผู้นำท้องถิ่นได้ร่วมมือกันกับ มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ ผู้นำลัทธิวะฮาบีย์ ก่อตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้นมา เรียกว่า ราชอาณาจักรซาอุดีแรก โดยแยกออกจากอาณาจักรออตโตมัน แต่ประเทศที่เป็นซาอุดีอาระเบียในปัจจุบันนั้นสถาปนาขึ้นเป็นครั้งที่สองโดยกษัตริย์อับดุลอะซีซ อาลสะอูด (หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ อิบนุสะอูด) ในปี 1902 อิบนุสะอูด ได้ยึดริยาดซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของราชวงศ์สะอูด คืนมาจากตระกูลอัลรอชีด ซึ่งเป็นศัตรูคู่แข่งของราชวงศ์สะอูด ต่อจากนั้น ก็ได้กรีฑาทัพเข้ายึดแคว้นต่าง ๆ มาได้ ได้แก่ อัลฮะสาอ์, นะญัด และ ฮิญาซ อันเป็นที่ตั้งของนครมักกะหฺ และ นครมะดีนะหฺ ในปี 1932 อิบนุสะอูด ได้ทำการรวมประเทศขึ้นเป็นราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย

   การเจรจาทำสนธิสัญญาแบ่งเส้นเขตแดนระหว่างซาอุดีอาระเบียกับจอร์แดน อิรัก และคูเวต มีขึ้นช่วงทศวรรษ 1920 และได้มีการจัดตั้ง "neutral zones" ขึ้นด้วยกัน 2 เขตคือระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับอิรัก และซาอุดีอาระเบีย กับคูเวต ในปี 1971 ได้มีการแบ่งเขตเป็นกลางระหว่างซาอุดีอาระเบีย และคูเวต โดยให้แต่ละฝ่ายแบ่งทรัพยากรน้ำมันกันอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนการแบ่งขตเป็นกลางระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับอิรักได้เสร็จสิ้นลงในปี 1983 ทางด้านเขตแดนตอนใต้ที่ติดกับเยเมนนั้น มีการเจรจาแบ่งเขตแดนโดยสนธิสัญญาฏออิฟ ในปี 1934 (พ.ศ. 2477) แต่ก็สิ้นสุดลงด้วยการสู้รบระหว่างสองประเทศ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เขตแดนระหว่างซาอุดีอาระเบีย และเยเมนในบางพื้นที่ก็ยังมิได้แบ่งลงไปอย่างแน่ชัด ส่วนเขตแดนที่ติดกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นสามารถตกลงกันได้ในปี 1974 สำหรับเขตแดนกับกาตาร์นั้นยังเป็นปัญหาอยู่



      อิบนุสะอูด สิ้นพระชนม์ในปี 1953 และพระราชโอรสองค์โตคือเจ้าชายสะอูด ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมาอีก 11 ปี ในปี 1964 กษัตริย์สะอูด ได้สละราชสมบัติให้กับเจ้าชายฟัยศอล ซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดาและดำรงตำแหน่ง รมว.กต.อยู่ด้วย กษัตริย์ฟัยศอล เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียพัฒนาไปสู่ระบบที่ทันสมัย



  ซาอุดีอาระเบีย มิได้ส่งกำลังทหารเข้าร่วมรบในสงครามหกวันระหว่างอาหรับและอิสราเอล แต่ได้ให้เงินช่วยเหลือรายปีแก่อียิปต์ จอร์แยเหลือเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ ในช่วงสงครามอาหรับ-อิสราเอล ปี 1973 ซาอุดีอาระเบีย ได้เข้าร่วมการคว่ำบาตรทางน้ำมันต่อสหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ ในฐานะสมาชิกของ โอเปก (OPEC) ซาอุดีอาระเบีย ได้ร่วมกับประเทศสมาชิกอื่นๆ ขึ้นราคาน้ำมันในปี 1971 ภายหลังสงครามปี 1973 ราคาน้ำมันได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากนำความมั่งคั่งและอิทธิพลทางการเมืองมาสู่ซาอุดีอาระเบีย ในปี 1975 กษัตริย์ฟัยศอล ถูกลอบสังหารโดยหลานชายของพระองค์เอง เจ้าชายคอลิด พระอนุชาต่างมารดาได้ขึ้นเป็นกษัตริงค์ต่อมาและยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย กษัตริย์คอลิด ได้แต่งตั้งเจ้าชายฟะหัด น้องชายต่างมารดาของพระองค์เป็นมกุฎราชกุมาร และมอบหมายให้มีอำนาจให้ดูแลกิจการภายในประเทศและต่างประเทศ ในรัชสมัยของ กษัตริย์คอลิด เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและซาอุดีอาระเบีย ได้มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเวทีการเมืองในภูมิภาคและในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในปี 1982 กษัติรย์ฟะหัด ได้ขึ้นครองราชย์และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน กษัตริย์คอลิด ซึ่งสิ้นพระชนม์ลง กษัติรย์ฟะหัด ได้แต่งตั้งเจ้าชายอับดุลลอหฺ น้องชายต่างมารดาซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ Saudi National Guard ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร ส่วนเจ้าชาย Sultan รัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของ King Fahad ได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีคนที่สอง



        ภายใต้รัชสมัยของพระราชาธิบดีฟาฮัดเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย ได้ปรับสภาพให้เข้ากับรายได้จากน้ำมันซึ่งมีราคาตกต่ำลงอย่างมากอันสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งตกต่ำลงในช่วงสงครามอิรัก-อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการให้มีการหยุดยิงระหว่างอิรัก-อิหร่านในปี 1988 และในการก่อตั้งคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศรัฐริมอ่าว 6 ประเทศ



     ในระหว่างปี 1990-1991 พระราชาธิบดีฯ มีบทบาทสำคัญทั้งก่อนหน้าและระหว่างสงครามอ่าว (Gulf War) โดยพระองค์ได้ช่วยเป็นจุดศูนย์กลางในการระดมความสนับสนุนความช่วยเหลือ และได้ใช้อิทธิพลของพระองค์ในฐานะผู้พิทักษ์มัสญิดต้องห้ามอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ชักชวนให้ประเทศอาหรับและอิสลามเข้าร่วมในกองกำลังผสม

Latest Posts