ซาอุดิอาราเบีย ดินแดนทะเลทรายศักดิ์สิทธิ์

ซาอุดิอาราเบีย ดินแดนทะเลทรายศักดิ์สิทธิ์

หลายๆคนคงหลงรักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ ในบางครั้งการที่เราสะพายกล้อง ออกเดินทางไปในสถานที่ใหม่ๆ เปรียบเหมือนการท่องไปในโลกใบใหม่ เราเก็บเกี่ยวทั้งประสบการณ์หรือแม้แต่วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นของโลกใบใหม่ไปด้วย การที่เรากดชัตเตอร์ในแต่ละครั้งในหัวใจเราหวังเพียงอยากที่จะหยุดภาพตรงหน้าและบันทึกความรู้สึกและภาพเหล่านั้นไว้ในความทรงจำ ในบางครั้งเมื่อเรากลับมาจากการเดินทาง เราก็เพียงแค่เก็บรูปเหล่านั้นไว้ในคอมพิวเตอร์แล้วออกเดินทางอีกครั้งไปยังจุดหมายใหม่ต่อไป จนวันนึงเราได้มีโอกาสผ่านกลับมาเจอกับภาพความทรงจำเหล่านั้นแต่กลับลืมไปแล้วว่าตอนนั้น ตอนที่เราลั่นชัตเตอร์ เรารู้สึกอย่างไร

ทริปซาอุครั้งนี้เกิดจากความไม่ตั้งใจของเรา ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นช่วงปิดเทอม ในหัวมีแต่ความคิดที่ว่าอยากไปที่ไหนก็ได้สักที่ที่ไกลๆ แน่นอนต้องเป็นสถานที่ที่ไม่จำเจซ้ำซาก แต่ต้องเป็นที่ที่แปลกใหม่และดึงดูดใจ เราจึงเริ่มมีความคิดที่จะออกเดินทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธ์ของชาวมุสลิม “ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ถ้ามีโอกาสก็ควรไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต”

001: ก่อนออกเดินทางไปซาอุควรฝึกพูดประโยคพื้นฐานไว้บ้างเป็นสิ่งที่ดี เพราะคนซาอุส่วนใหญ่มีความเป็นชาตินิยมสูงและสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษนั้นฟังยากมากแต่เราสามารถเริ่มต้นทักทายพวกเขาด้วยภาษาที่พวกเขาใช้กันจริงๆ เขาจะกล้าคุยกับเรามากขึ้น มากไปกว่านั้นเราจะได้เห็นรอยยิ้มบางๆที่พวกเขามอบให้ จากการที่เราแค่พูดคำว่า “ชุกรอน” ซึ่งแปลว่าขอบคุณ

002: ช่วงเวลาที่ไปเยือนซาอุ แบ่งง่ายๆได้สองช่วงเวลา สำหรับบุคคลประเภทที่หนึ่ง ประเภทไม่ชอบอากาศร้อน ไม่ค่อยเอ็นจอยกับอากาศร้อนสักเท่าไหร่ แนะนำให้ไปในช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ. ในช่วงเดือนนี้จะมีอุณหภูมิประมาณ 2-20 องศา แต่ถ้าใครที่เป็นบุคคลประเภทที่สอง ประเภทเมื่อไหร่เมื่อนั้นที่ไหนยังไงก็ได้ ประเภทที่แบบอะไรก็ได้ขอไปให้สุดให้คุ้ม แนะนำให้ไปช่วงเดือน มี.ค.-ต.ค. อากาศจะต่างกับช่วงหน้าหนาวซึ่งมีอุณหภูมิตั้งแต่ 32-50 องศากันเลยทีเดียว

003: การเดินทางของเรา ที่หวังในใจเลยคือหลักๆสามที่เน้นๆ ที่แรกที่เราจะไปคือเมืองหลวงของประเทศ ซาอุดิอาราเบีย ซึ่งก็คือเมืองริยาด เป็นชื่อที่มาจากภาษาอาหรับแปลว่าสถานที่ที่เต็มไปด้วยสวนและต้นไม้ ที่นี่จะเป็นเมืองเศรษฐกิจ และเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการต่างๆ รวมไปถึงสถานทูตของทุกประเทศที่ถูกจัดให้อยู่รวมกันคล้ายกับเป็นเมืองเล็กๆอีกเมืองหนึ่งที่มีการคุ้มกันที่ค่อนข้างแน่นหนา ข้างในจะมีสถานที่พักผ่อนต่างๆตั้งแต่ร้านอาหาร ร้านขายของ สนามกีฬา ร้านกาแฟ รวมไปถึงมัสยิดที่จัดไว้ให้คนที่นี่ได้ปฏิบัติศาสนกิจกัน ในส่วนของมัสยิดนั้นมีชื่อเรียกว่า ฮัยยัลซาฟารอต โดยที่คำว่าฮัยยัลแปลว่าลาน ส่วนซาฟารอตแปลว่าสถานทูต ซึ่งความหมายก็คือลานของสถาทูตที่มีไว้ให้เป็นที่รวมกลุ่มกันของคนที่อาศัยอยู่ในนี้

004: คนที่นี่เป็นค้างคาว ประโยคนี้หมายถึงคนส่วนใหญ่ที่นี่จะออกไปเที่ยวกันในตอนกลางคืน เพราะในตอนกลางวันมีอากาศที่ค่อนข้างร้อนไปถึงร้อนมาก คนที่นี่เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ในตอนกลางวันทำงานหรือพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แล้วออกไปห้างหรือเที่ยวกันในตอนกลางคืน พิพิธภัณฑ์อัลมัสมัค เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับประวิติศาสตร์ของซาอุดิอาราเบีย ที่ในตอนกลางคืนจะมีการฉายภาพบนผนังของพิพิธภัณฑ์ ภายนอกจะเป็นลานกว้างให้คนมาเที่ยวนั่งเล่นจิบชากัน นั่งคุยกันได้

005: Next Station “นครมะดีนะห์” หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า “เมดีนา” เป็นที่ตั้งของมัสยิด อัลนะบาวีย์ ที่มัสยิดแห่งนี้มีความพิเศษก็คือมีเสาทั้งหมด 2,104 ต้น แต่ละต้นตกแต่งไปด้วยทอง  ภายในปูพรมทั้งหมดและติดแอร์เย็นฉ่ำ ส่วนภายนอกมีร่มที่กางและหุบด้วยระบบไฟฟ้า ร่มจะกางตอน 6 โมงเช้าและหุบตอน 6 โมงเย็นของทุกวัน ในตอนกลาคืนข้างทางก็จะมีคนเอาของมาขาย ตั้งแต่ของใช้ เสื้อผ้า หรือแม้แต่อาหาร

006: ต่อไปเป็นการทัวร์มัสยิดต่างๆนอกตัวเมือง เมื่อมาเยือนดินแดนอาหรับแน่นอนว่าส่วนใหญ่ที่นี่มีมัสยิดทั้งที่สร้างใหม่และทั้งที่เก่าแก่มีประวัติ เวลาเป็นตัวจำกัดเราว่าจะไปได้กี่ที่ในหนึ่งวัน บวกกับสภาพอากาศที่ค่อยข้างร้อน ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ทุกที่ที่ไปล้วนแต่เป็นความทรงจำที่รู้ว่าจะสามารถกลับมาอีกครั้งได้รึเปล่า

007: เดินทางต่อไปอีกเมืองเศรษฐกิจหนึ่งของประเทศนี้คือ เมืองเจดดาห์ เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่น่าสนใจเพราะมีภูมิประเทศที่ติดทะเล ถนนหนทางในเมืองจะมีสิ่งปลูกสร้าง หรือทำเป็นวงเวียนเพื่อความสวยงาม อีกหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่เห็นจะเป็นมัสยิดริมทะเลที่เปิด 24 ชั่วโมง ตกเย็นคนเมืองนี้จะออกมานั่งปิกนิคซื้อของหรือเตรียมอาหารมาจากบ้านนั่งทานกันริมทะเลเป็นแนวยาวเรียบทะเลไป บ้างก็มีของมาขายกัน เด็กๆก็วิ่งเล่นกัน นั่งฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง นั่งคุยกับคนรู้ใจ เป็นวันที่ผ่อนคลายอีกวันหนึ่งก็ว่าได้  ก่อนกลับก็ยังสามารถแวะไปดูน้ำพุกษัตริย์ได้อีกด้วย เค้าว่ากันว่าเป็นน้ำพุที่สูงกว่าหอไอเฟลในปารีสอีกด้วย

008: ดินแดนทะเลทราย โลเคชั่นสุดท้ายสุดคือจุดพีคที่รอคอยมานานนั่นคือการไปเยือนทะเลทราย “เห้ย…มันจะร้อนขนาดไหนวะ” นั่นคือสิ่งที่คิดอยู่ในหัว ภาพที่นึกไว้คือเหงื่อไหลเป็นทาง เดินงกงกอยู่กลางทราย ไร้ผู้คน เริ่มต้นเดินทางตั้งแต่เช้า แวะละหมาดที่มัสยิดเล็กๆริมทาง พร้อมวิวดวงอาทิตย์ขึ้นราคาหลักหมื่น นั่งรถต่อไปเรื่อยๆก็พบกับสัตว์ประจำทะเลทรายนั่นก็คืออูฐเดินอยู่บนถนนด้วยความตื่นเต้น ภาพตรงหน้าคือทะเลทราย ที่ไม่ได้ร้อนอย่างที่คิก มีภูเขาเล็กๆ หรือจะเรียกว่าเนินทรายก็ได้ มีผู้คนเป็นกลุ่มๆ เดินไปมา เนื้อสัมผัสของทรายละเอียดและนุ่มเท้ามาก ถึงแม้ว่าทรายจะโดดแดดจากดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้ทำให้มันร้อนมากมายแต่อย่างใด เหลือเพียงแต่ทรายที่อุ่นๆ การถอดรองเท้าเดินบนพื้นทรายนั้นทำให้เรารู้สึกสบายและสนุกได้ในเวลาเดียวกัน การเดินขึ้นเนินทรายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกายสักเท่าไหร่ เพราะความยวบยาบของทรายทำให้การเดินขึ้นในทางชันนั้นค่อนข้างท้าท้ายสำหรับคนแรงน้อย แต่สำหรับคนออกกำลังกายเป็นประจำน่าจะไม่มีปัญหาอะไร

009: ทริปซาอุครั้งนี้เป็นทริปที่ลั่นชัตเตอร์น้อยกว่าทริปอื่นๆเนื่องจากกลัวว่าจะละเมิดกฎของประเทศ ซึ่งในบ้างครั้งในบางสถานที่เป็นเขตหวงห้าม แต่ในการบันทึกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆระหว่างทางแล้วเวลาที่เรากลับมาย้อนดูรูปที่ถ่ายไปกลับทำให้รู้สึกว่าแทนที่จะปล่อยให้ภาพความทรงจำนั้นถูกดองไว้ เราคิดว่าเรานำเอาภาพเหล่านี้มาแบ่งปนให้กับใครที่บังเอิญผ่านมาตรงพื้นที่นี้ หวังแค่ว่าภาพความทรงจำเหล่านี้ของเราอาจจะทำให้คนที่รักในการเดินทางเหมือนกับเรามีแรงบันดาลใจออกไปทำความรู้จักกับโลกใบนี้ ไปยังจุดหมายที่มีอยู่ในใจ อย่าปล่อยให้สถานที่เหล่านั้นกลายเป็นเสียงกระซิบเบาๆที่วันหนึ่งอาจจะเลือนหายไป เก็บมันไว้และตามหามันในสักวัน

และสำหรับดินแดนทะเลทรายนี้เราอยากแบ่งพื้นที่ตรงนี้ เป็นเหมือนกับที่ที่เพื่อนมาเล่าต่อให้กับเพื่อนฟัง ด้วยกับข้อมูลหลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรือบางเรื่องราวที่อาจจะไปพบไปเจอเมื่อไปถึง มันเป็นเหมือนกับการบอกเล่าปากต่อปากที่สามารถนึกได้ ณ ขณะนี้ โดยไร้การจดบันทึกอะไรไว้เลย หากข้อมูลส่วนไหนมีความผิดพลาดเราสามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้เสมอ

Latest Posts