ซาอุดิอารเบีย ได้เฉลิมฉลองครบรอบการเป็นเอกราช 89 ปี ท่ามกลางกระแสที่รุมเร้าจากปฏิบัติการโจมตีของ ‘กลุ่มฮูซี’ เยเมน จนเข้าตาจนต้องขอกำลังสนับสนุนเพิ่มจากสหรัฐฯ และคาดว่า จะต้องจ่ายเงินให้พญาอีแร้งอีกบานตะไท

ในขณะที่คอลีฟะห์ยอมให้ปลดอาวุธ นายพลอตาเติร์ก ผู้บัญชาการทหารได้จับอาวุธ และนำชาวตุรกีลุกขึ้นขัดขวางการปลดอาวุธ นำพาตุรกีรอดพ้นจากการยึดครองของยุโรปได้สำเร็จ ในปี 1924 เขาได้ล้มเลิกระบบคอลีฟะห์ ที่นำโดยชนชาติออตโตมาน สิ้นสุดระบอบการปกครองโลกอิสลามที่ดำเนินมายาวนานกว่า 1,000 ปี
อาตาเติร์ก หันหลังให้กับโลกอาหรับหันไปเดินตามยุโรป เพื่อนำพาชาติอให้ทันสมัย ดินแดนในปกครองของออตโตมาน จึงประกาศตัวเป็นอิสระ รวมทั้ง ซาอุดิอารเบีย โดยราชวงศ์’ซาอุด’ สถาปนาตนเองเป็นผู้นำ ภายใต้การสนับสนุนของอังกฤษ ก่อตั้งเป็นประเทศที่นำชื่อราชวงศ์มาก่อตั้ง
ซาอุดิอารเบีย เริ่มต้นประเทศด้วย 3 ประสาน คือ ราชวงศ์ซาอุด ที่มีความชำนาญด้านการรบ ตระกูลบินลาเดน ที่มีผู้มีฐานะมั่งคั่ง เป็นผู้สร้างถนนเส้นแรกในมักกะห์ และอับดลวาฮาบ เป็นผู้นำด้านศาสนา กระชับอำนาจให้ราชวงศ์ซาอุด โดยใช้ศาสนานำ
ด้วย 3 ประสานดังกล่าว ส่งผลให้ราชวงศ์ซาอุฯ กระชับอำนาจแน่นหนา และจากประเทศยากจนได้กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวย หลังการค้นพบน้ำมัน ตระกูลบินลาเดิน จึงได้รับการตอบสนองโครงการจากราชวงศ์มากมายมหาศาล และสายศาสนา ก็ได้รับการสนับสนุนให้แนวคิด’วาฮาบี’ กระจายไปไปสร้างปัญหาความขัดแย้งในทั่วทุกมุมโลก
หลังวิกฤติน้ำมันในทศวรรษ 1970 ที่ชาติผู้ผลิตน้ำมันรวมทั้งชาติอาหรับ ปฏิเสธการขายน้ำมันให้สหรัฐฯ ส่งผลให้ประเทศอเมริกาอันยิ่งใหญ่ เป็นอัมพาตไปทั้งประเทศ การเดินทาง การประกอบธุรกิจหยุดชะงักจากการขาดแคลนน้ำมัน

หลังวิกฤติสหรัฐฯ มองเห็นความสำคัญของผู้ผลิตน้ำมันขนาดใหญ่อย่างซาอุฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ทั้ง CIA และเจ้าหน้าทีฝ่ายต่างๆเข้ามาในซาอุฯ
‘สิ่งที่เราเห็นคือความล้าสมัย เราเห็นแพะ เก็บกินอาหารจากถังขยะที่กองเรี่ยราด’ อดีตคเจ้าหน้าที่ CIA บันทึกลงในหนังสือ ที่เชื่อว่า เพชรฆาตเศรษฐกิจ
ในขณะนั้น เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯกระจายไปยังทุกมุมโลก ในนามธนาคารโลก(World Bank)กระตุ้นให้แต่ละประเทศพัฒนา ด้วยการสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ อาทิเขื่อน ถนน เป็นต้น โดยให้ปรเทศเหล่านั้น กู้เงินจากWorld Bank และบริษัทของสหรัฐฯ เข้าไปสัมปทาน และหนี้ที่เป็นอยู่กับธนาคารโลก ก็จะถูกนำมาต่อรองทางการเมือง สหรัฐฯเข้าไปยึดครองในหลายประเทศ โดยเฉพาะในลาตินอเมริกา
ในซาอุฯ เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ นำประเด็นเรื่องความมั่นคงไปขายไอเดียให้กับซาอุฯ ด้วยหลังจากนั้นไม่นาน ได้เกิดการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ขับไล่ระบอบชาร์ที่เป็นพันธมิตรที่ดีกับสหรัฐฯออกไป
ซาอุฯ จึงโหมสะสมอาวุธ ที่ขายโดยสหรัฐฯ รวมทั้ง สหรัฐฯได้เข้าไปตั้งฐานทัพในซาอุฯ ไม่ไกลจากแผ่นดินฮารอมมากนัก คนที่กอบโกยผลประโยชน์มากที่สุดคือสหรัฐฯ จากการสร้างความหวาดระแวงให้เกิดในหมู่กลุ่มชาติในคาบสมุทรอาหรับ เหมือนครั้งที่อังกฤษจะเข้ายึดครองอินเดียเป็นอาณานิคม ก็ยุให้แต่ละเมืองรบกัน และตัวเองทำหน้าที่เข้าไปไกล่เกลี่ยนและยึดครอง ด้วยกำลังเพียง 200คน
แม้จะได้รับการดูแลช่วยเหลือด้านอาวุธจากสหรัฐฯ แต่ระยะนั้นราชวงศ์ซาอุฯ ก็ยังไม่ได้แสดงความปฏิปักษ์กับชาติอาหรับอื่นๆ แม้แต่กับอิหร่าน แต่หลังการเข้ามายึดกุมอำนาจของ มกฎราชกุมาร มูฮัมหมัด บิน ซัลมาน ได้ใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวต่อประเทศคู่ปฏิปักษ์ในภูมิภาค การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายให้ล้มรัฐบาลบาซ่า อัลอัซซาด แห่งซีเรีย การสนับสนุนอดีตผู้นำเยเมน ด้วยการร่วมกับพันธมิตร โจมตีฝ่ายกบฎฮูซี ที่เข้ายึดครองเยเมน

‘เยเมน’ เกิดสงครามกลางเมืองมายาวนานหลายปี หลังซีเรียไม่นาน มีการโค่มล้มประธานาธิบดีคนเก่า และประธานาธิบดีที่นำกำลังโค่นล้ม ก็ถูกโค่นล้มโดยกลุ่มฮูซี ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน กลายเป็นสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน
ฮูซี แม้ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน แต่เป็นไปอย่างไม่เปิดเผยนัก เมื่อเทียบกับการสนับสนุนปาเลสไตน์ และกลุ่มฮิสบุลเลาะห์ในเลบานอน ที่อิหร่านให้การสนับสนุนด้านอาวุธอย่างเต็มที่ จนปัจจุบันปาเลสไตน์สามารถต่อกร และสร้างความเสียหายให้กับอิสราเอลได้ไม่น้อย จะเห็นว่า ระยะหลังอิสราเอลไม่กล้าโจมตีปาเลสไตน์มากนัก เพราะแต่ละครั้งจะถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจากปาเลสไตน์ ในขณะที่อิสบุลเลาะห์ เป็นกองกำลังที่เอาชนะอิสราเอลได้ สามารถขับไล่อิสราเอลออกจากดินแดนยึดครองในเลบานอน และกำลังต่อกรกับอิสราเอลเพื่อทวงคืนดินแดนยึดครอบบนที่ราบสูงโกลัน